ดูแลป้องกันโรคต่อมทอนซิลอักเสบ
โรคต่อมทอนซิลอักเสบ (Tonsillitis) เป็นภาวะที่พบได้บ่อยในเด็กและผู้ใหญ่ โดยมีสาเหตุหลักมาจากการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียที่ทำให้ต่อมทอนซิล ซึ่งอยู่บริเวณด้านหลังของลำคอ เกิดการอักเสบและบวม
ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการเจ็บคอ กลืนลำบาก มีไข้ และบางครั้งมีคราบหนองบริเวณทอนซิล โรคนี้สามารถแพร่กระจายได้ง่ายผ่านละอองฝอยจากการไอหรือจามของผู้ป่วย หรือการใช้ของร่วมกัน เช่น แก้วน้ำหรือช้อนส้อม
การป้องกันโรคต่อมทอนซิลอักเสบจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในสถานที่ที่มีคนอยู่รวมกันจำนวนมาก เช่น โรงเรียน โรงแรม หรือสำนักงาน วิธีการดูแลตนเอง เช่น การล้างมือบ่อย ๆ หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้อื่น รักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง และหลีกเลี่ยงสภาพแวดล้อมที่เป็นแหล่งเชื้อโรค จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โรคต่อมทอนซิลอักเสบคืออะไร
โรคต่อมทอนซิลอักเสบ (Tonsillitis) คือ การอักเสบของต่อมทอนซิลซึ่งอยู่ที่บริเวณด้านหลังของลำคอ มีหน้าที่ในการดักจับเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกายผ่านทางปากและจมูก โดยเฉพาะในเด็กที่มีระบบภูมิคุ้มกันยังไม่พัฒนาเต็มที่ ทอนซิลจึงทำงานอย่างหนักและมีโอกาสติดเชื้อได้บ่อย
สาเหตุของโรค
- เชื้อไวรัส
พบมากที่สุด เช่น ไวรัสไข้หวัดใหญ่ (Influenza), ไวรัส EBV ที่เป็นสาเหตุของโรคโมโนนิวคลิโอซิส - เชื้อแบคทีเรีย
โดยเฉพาะ *Streptococcus pyogenes* ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคคออักเสบชนิดติดเชื้อแบคทีเรีย (Strep throat)
อาการของโรค
- เจ็บคอ กลืนลำบาก
- ไข้ หนาวสั่น
- ทอนซิลบวมแดง อาจมีจุดขาวหรือหนอง
- มีกลิ่นปาก
- ปวดหู ปวดศีรษะ
- ต่อมน้ำเหลืองที่คอบวม
ในเด็กอาจพบอาการซึม เบื่ออาหาร หรืออาเจียนร่วมด้วย
การวินิจฉัย
แพทย์จะซักประวัติและตรวจร่างกาย โดยเฉพาะลำคอ อาจมีการใช้ไม้กดลิ้นเพื่อตรวจดูต่อมทอนซิล หากสงสัยว่าเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย แพทย์อาจใช้วิธีดังนี้
- Rapid strep test: ตรวจหาเชื้อแบคทีเรียแบบเร่งด่วน
- Throat culture: เก็บตัวอย่างจากลำคอไปเพาะเชื้อเพื่อวินิจฉัย
การป้องกันโรค
เพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อที่ทำให้เกิดทอนซิลอักเสบ ควรปฏิบัติดังนี้
- ล้างมือเป็นประจำ โดยเฉพาะก่อนรับประทานอาหารและหลังจากเข้าห้องน้ำ
- หลีกเลี่ยงการใช้ของร่วมกัน เช่น ช้อน แก้วน้ำ ผ้าเช็ดหน้า
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสผู้ที่มีอาการเจ็บคอ ไข้ หรือไอจาม
- รักษาสุขภาพให้แข็งแรง โดยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนเพียงพอ และออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- ดูแลสุขอนามัยของปากและคอ โดยการแปรงฟันและกลั้วคอบ่อย ๆ
- ในโรงเรียนหรือที่ทำงาน หากมีผู้ป่วย ควรแยกผู้ป่วยเพื่อป้องกันการแพร่กระจาย
การรักษาโรคต่อมทอนซิลอักเสบ
การรักษาแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ขึ้นอยู่กับสาเหตุของการอักเสบ
การรักษาแบบประคับประคอง (เมื่อเกิดจากไวรัส)
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- ดื่มน้ำอุ่นมาก ๆ
- กลั้วคอด้วยน้ำเกลือ
- ใช้ยาลดไข้และบรรเทาอาการเจ็บคอ เช่น พาราเซตามอล หรือไอบูโพรเฟน
- หลีกเลี่ยงของเย็นหรือรสจัด
การใช้ยาปฏิชีวนะ (เมื่อเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย)
- แพทย์จะพิจารณาให้ยาปฏิชีวนะ เช่น เพนิซิลลิน หรืออโมซิซิลลิน
- ควรรับประทานยาให้ครบตามที่แพทย์สั่ง แม้อาการจะดีขึ้นก่อน เพื่อป้องกันการดื้อยาและภาวะแทรกซ้อน
- หากผู้ป่วยมีอาการรุนแรง อาจต้องรับการรักษาในโรงพยาบาล
ระวัง! ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อน เช่น
- ฝีรอบทอนซิล (Peritonsillar abscess): มีหนองสะสมรอบต่อมทอนซิล
- หูชั้นกลางอักเสบ
- ไซนัสอักเสบ
- ไข้รูมาติก (Rheumatic fever) จากการติดเชื้อแบคทีเรีย
- ภาวะกลืนลำบากเรื้อรัง หรือปัญหาการหายใจขณะนอนหลับ หากเป็นซ้ำบ่อย ๆ
กรณีที่จำเป็นต้องผ่าตัดทอนซิลออก
ในบางรายที่มีอาการเรื้อรังหรือเป็นซ้ำบ่อย เช่น
- มีการอักเสบมากกว่า 5-7 ครั้งต่อปี
- มีฝีรอบทอนซิลซ้ำ
- หายใจลำบาก หรือกรนรุนแรงจากทอนซิลโต
- มีปัญหาการกลืนเรื้อรัง
แพทย์อาจแนะนำให้ทำการผ่าตัดเอาทอนซิลออก (Tonsillectomy) โดยเป็นการผ่าตัดเล็กและปลอดภัยในปัจจุบัน
บทสรุป โรคต่อมทอนซิลอักเสบเป็นโรคที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในวัยเรียนและผู้ที่อยู่ในที่แออัด การดูแลป้องกันด้วยสุขอนามัยที่ดี เช่น การล้างมือ การหลีกเลี่ยงการสัมผัสผู้ป่วย และการดูแลสุขภาพโดยรวมเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการลดโอกาสการติดเชื้อ หากมีอาการควรพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง อย่าซื้อยามารับประทานเอง เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
0 ความคิดเห็น