โรคงูสวัด: ความหมายและแนวทางป้องกัน

Shingles

โรคงูสวัด หรือที่ในภาษาอังกฤษเรียกว่า Shingles เป็นโรคผิวหนังที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส Varicella Zoster Virus (VZV) ซึ่งเป็นไวรัสเดียวกับที่ทำให้เกิดโรค อีสุกอีใส (Chickenpox) 

โรคนี้มักเกิดขึ้นในผู้ที่เคยติดเชื้ออีสุกอีใสมาก่อน เมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอลง ไวรัสจะสามารถกลับมาตื่นขึ้นและแพร่กระจายที่เส้นประสาทที่เคยได้รับการติดเชื้อเดิม ซึ่งจะทำให้เกิดการอักเสบ และเป็นผื่นหรือแผลพุพองในบริเวณที่เกี่ยวข้องกับเส้นประสาทนั้นๆ

แม้ว่าโรคงูสวัดจะไม่สามารถแพร่กระจายจากคนสู่คนได้โดยตรงเหมือนกับโรคอีสุกอีใส แต่ผู้ที่มีการสัมผัสแผลที่เปิดของผู้ป่วยที่มีเชื้อไวรัสอาจจะติดเชื้ออีสุกอีใสได้หากยังไม่เคยเป็นมาก่อน โรคนี้สามารถพบได้ในผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น ผู้ที่ได้รับการรักษาด้วยเคมีบำบัดหรือยากดภูมิคุ้มกัน

การเกิดโรคงูสวัด

โรคงูสวัดเกิดจากการที่ไวรัส Varicella Zoster (VZV) ที่ทำให้เกิดโรคอีสุกอีใสได้กลับมาปลุกระดมอีกครั้งหลังจากที่เคยทำให้เกิดการติดเชื้ออีสุกอีใสในช่วงวัยเด็ก ไวรัสนี้จะยังคงพักอยู่ในระบบประสาทของร่างกายตลอดไป เมื่อเวลาผ่านไป ระบบภูมิคุ้มกันที่มีความแข็งแรงลดลงหรือมีความเครียดสูง ทำให้ไวรัสนี้สามารถกลับมาทำให้เกิดโรคงูสวัดได้อีกครั้ง

ผู้ที่เคยเป็นอีสุกอีใสจะมีโอกาสเป็นโรคงูสวัดมากกว่าผู้ที่ไม่เคยเป็นอีสุกอีใส โดยเฉพาะในผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี และในผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ เช่น ภูมิคุ้มกันต่ำ หรือมีโรคประจำตัว

อาการของโรคงูสวัด

  1. ปวดแสบปวดร้อน
    อาการแรกที่มักเกิดขึ้นคืออาการปวดแสบปวดร้อนที่มักจะเกิดในบริเวณที่ไวรัสจะปรากฏตัว โดยมักจะเป็นอาการที่รุนแรงและทำให้ผู้ป่วยรู้สึกไม่สบาย

  2. ผื่น
    ผื่นจะเริ่มขึ้นเป็นตุ่มเล็กๆ บริเวณผิวหนัง บริเวณหน้าอก หลัง และบริเวณท้อง เป็นต้น แล้วค่อยๆ พัฒนาไปเป็นแผลพุพองในบริเวณที่เส้นประสาทที่ติดเชื้อไวรัสอยู่

  3. เจ็บปวดที่ผิวหนัง
    บางครั้งอาจมีอาการเจ็บแสบที่ผิวหนังแม้จะไม่สัมผัสกับผื่น

  4. อาการปวดศีรษะ
    ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการปวดศีรษะร่วมด้วย

แนวการป้องกันโรคงูสวัด

  • วัคซีน
    การฉีดวัคซีนป้องกันโรคงูสวัด (Shingles Vaccine) เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการลดความเสี่ยงของการเกิดโรคนี้ โดยเฉพาะในผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป ซึ่งวัคซีนนี้จะช่วยเพิ่มความสามารถในการต้านทานไวรัสที่พักตัวอยู่ในร่างกาย

  • ดูแลสุขภาพโดยรวม
    การรักษาสุขภาพที่ดี เช่น การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การออกกำลังกาย และการนอนหลับให้เพียงพอจะช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายสามารถป้องกันการกลับมาของไวรัสได้

  • การลดความเครียด
    ความเครียดเป็นตัวกระตุ้นสำคัญในการทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง ซึ่งอาจจะทำให้ไวรัสกลับมาปะทุอีกครั้ง ดังนั้น การหาวิธีจัดการกับความเครียด เช่น การทำสมาธิหรือการพักผ่อนให้เพียงพอจะช่วยลดความเสี่ยงได้

วิธีดูแลผู้ป่วยโรคงูสวัด

  • การใช้ยา
    หากเป็นโรคงูสวัดควรใช้ยาต้านไวรัสเพื่อบรรเทาอาการและลดระยะเวลาของการเจ็บปวด โดยยาที่มักใช้ ได้แก่ อะซิโคลเวียร์ (Acyclovir) หรือไวรัสยาต้านไวรัสชนิดอื่น

  • การบรรเทาอาการปวด
    นอกจากยาต้านไวรัสแล้ว ยาบรรเทาอาการปวดอย่างยาพาราเซตามอลหรือไอบูโพรเฟนสามารถช่วยลดความปวดจากการติดเชื้อได้

  • การรักษาความสะอาดของผิวหนัง
    ควรทำความสะอาดแผลที่เกิดจากการติดเชื้อ เพื่อป้องกันการติดเชื้อแทรกซ้อน

  • การหลีกเลี่ยงการสัมผัสแผล
    การหลีกเลี่ยงการสัมผัสแผลจะช่วยป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสไปยังผู้อื่นที่ยังไม่เคยเป็นอีสุกอีใสมาก่อน

ข้อควรระวังโรคงูสวัด

  • การแพร่เชื้อ
    โรคงูสวัดสามารถแพร่กระจายเชื้อไปยังผู้ที่ไม่เคยเป็นอีสุกอีใสมาก่อน โดยการสัมผัสแผลที่เปิดของผู้ป่วย ดังนั้นผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้อื่นจนกว่าผื่นจะหาย

  • การป้องกันการเกิดแผลถลอก
    ควรใช้ผ้าปิดแผลเพื่อลดความเสี่ยงจากการเกิดแผลถลอกหรือการติดเชื้อเพิ่มเติม

บทสรุป โรคงูสวัดเป็นโรคที่เกิดจากไวรัสเดียวกับที่ทำให้เกิดอีสุกอีใส โดยจะเกิดขึ้นเมื่อไวรัสที่เคยทำให้เกิดอีสุกอีใสพักตัวอยู่ในระบบประสาทและกลับมาทำให้เกิดการติดเชื้อซ้ำ การป้องกันสามารถทำได้ด้วยการฉีดวัคซีน, ดูแลสุขภาพร่างกาย, และลดความเครียด ในกรณีที่เป็นแล้วควรได้รับการรักษาด้วยยาและดูแลแผลอย่างถูกต้อง เพื่อลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อแทรกซ้อนและบรรเทาอาการ

0 ความคิดเห็น